
GEO 2025 เขียนบทความให้ติด AI Overviews
ในยุคที่ Google ได้เปลี่ยนจากการแสดงผลลัพธ์เป็นลิงก์ (Blue Links) มาเป็นกล่องคำตอบสรุปด้วย AI ที่เรียกว่า AI Overviews (เดิม SGE) กลยุทธ์การทำ SEO แบบดั้งเดิมจึงไม่พออีกต่อไป นี่คือจุดกำเนิดของ GEO (Generative Engine Optimization) ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่เน้นการปรับเนื้อหาเพื่อให้ AI “เข้าใจ” และ “เลือกใช้” ข้อมูลของคุณไปสรุปเป็นคำตอบ
GEO ไม่ได้มาแทนที่ SEO แต่มาเพื่อเป็นรากฐานใหม่ของการทำคอนเทนต์ในยุค AI
GEO คืออะไร?
กลยุทธ์ GEO (Generative Engine Optimization) คือกลยุทธ์ในการสร้างและปรับปรุงเนื้อหาดิจิทัลเพื่อให้มีโอกาสถูกเครื่องมือค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย Generative AI นำไปใช้เป็นแหล่งข้อมูลในการสร้างคำตอบ เป้าหมายหลักของ GEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็น Primary Source หรือแหล่งอ้างอิงหลักที่น่าเชื่อถือ ซึ่ง AI จะดึงข้อมูลไปสรุปในช่อง AI Overviews (หรือเรียกกันว่า AI Snapshot) ที่อยู่บนสุดของหน้าผลการค้นหา (SERP)
GEO ต่างจาก SEO อย่างไร?
ความแตกต่างระหว่าง GEO (Generative Engine Optimization) และ SEO (Search Engine Optimization) เป็นกลยุทธ์ที่เพิ่มการมองเห็นของเนื้อหาบนโลกออนไลน์ แต่มีเป้าหมายและวิธีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มี AI Overviews เข้ามามีบทบาท
พูดง่ายๆ คือ SEO เป็นรากฐาน ส่วน GEO เป็นวิวัฒนาการ ที่ต่อยอดเพื่อรองรับการค้นหาด้วย AI
| คุณสมบัติ | SEO (Search Engine Optimization) | GEO (Generative Engine Optimization) |
|---|---|---|
| เป้าหมายหลัก | นำผู้ใช้งาน (Traffic) เข้าสู่เว็บไซต์ โดยตรงผ่านการคลิกบนลิงก์ในหน้าผลลัพธ์ (SERP) | ทำให้เนื้อหาถูก AI เลือกและอ้างอิง ในการสร้างคำตอบสรุป (AI Overviews) |
| ผลลัพธ์ที่ต้องการ | ติดอันดับสูงๆ ในรายการลิงก์ (Blue Links) บน Google | ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ หรือเป็นแหล่งอ้างอิงหลักในกล่อง AI Summary |
| พฤติกรรมผู้ใช้ | “คลิก” เพื่อเข้าไปอ่านเนื้อหาเต็มในเว็บไซต์ (Click Economics) | “Zero-Click” หรือ “Ask AI” ผู้ใช้ได้คำตอบทันทีบนหน้าค้นหา |
| การวัดผลสำเร็จ | Traffic, Click-Through Rate (CTR), Keyword Ranking, Backlinks | Citation Rate, Inclusion Rate (ความถี่ที่ AI เลือกใช้ข้อมูล), Brand Visibility |
| การใช้คีย์เวิร์ด | เน้น Keyword Density และการวางคีย์เวิร์ดอย่างมีกลยุทธ์เพื่อให้ Google “เจอ” | เน้น Semantic Richness, Context, และการใช้ Long-Tail Keyword/คำถามที่เป็นธรรมชาติเพื่อให้ AI “เข้าใจ” และ “ตอบได้” |
| เป้าหมโครงสร้างเนื้อหา ายหลัก | เน้นการจัดรูปแบบเพื่อ การจัดอันดับของอัลกอริทึม (เช่น การใช้คีย์เวิร์ดใน H1) | เน้น ความชัดเจน, ความสมบูรณ์, และ การจัดรูปแบบเพื่อการดึงข้อมูลของ AI (เช่น Bullet Points, FAQ Schema) |
สรุปความแตกต่างที่สำคัญ
- เป้าหมายต่างกัน: SEO ต้องการ “คลิก” เข้าเว็บไซต์ แต่ GEO ต้องการ “เป็นคำตอบ” ของ AI
- การวัดผลต่างกัน: SEO วัดจาก การคลิก และ อันดับ แต่ GEO วัดจาก การถูกอ้างอิง (Citation)
- การปรับเนื้อหาต่างกัน: SEO เน้นการสร้าง Authority และ Backlinks เป็นหลัก แต่ GEO เน้น ความสามารถในการถูก AI ย่อยข้อมูล (Extractability) ด้วยการใช้โครงสร้างที่ชัดเจน (เช่น H2/H3 ที่เป็นคำถาม-คำตอบ) และความน่าเชื่อถือแบบ E-E-A-T
การทำงานร่วมกัน (GEO + SEO)
ในความเป็นจริง ทั้งสองกลยุทธ์ไม่ได้เป็นคู่แข่งกัน แต่ต้องทำงานร่วมกัน:
- SEO ที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็น รากฐาน ให้ AI มองเห็นและไว้วางใจในการนำข้อมูลไปใช้
- GEO จะช่วย ต่อยอด เนื้อหาที่มีคุณภาพนั้น ให้ถูก AI เลือกไปแสดงในช่อง AI Overviews ซึ่งเป็นการเพิ่มการมองเห็นของแบรนด์ในช่องทางใหม่ ๆ
เขียนบทควม GEO ทำยังไง
การเขียนบทความให้ติดอันดับใน Google ในปัจจุบันและอนาคต ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุค AI Overviews (หรือเดิมคือ SGE) และหลักการ Generative Engine Optimization (GEO) ซึ่งเน้นที่คุณภาพเนื้อหาและความสามารถในการถูก AI เลือกไปสรุปให้ผู้ใช้งาน นี่คือหลักการสำคัญและขั้นตอนที่คุณควรทำ
1. เน้น “คุณภาพ” และ “ความน่าเชื่อถือ” (E-E-A-T)
Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มี E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) มากกว่าการยัดคีย์เวิร์ด
- แสดงความเชี่ยวชาญ: เขียนในหัวข้อที่คุณมีประสบการณ์จริง หรือนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ไม่มีที่อื่น
- อ้างอิงที่มา: หากใช้สถิติหรืองานวิจัย ให้ใส่ลิงก์หรืออ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (External Link)
- เป็นผู้เขียนที่ชัดเจน: ระบุชื่อผู้เขียน (Author Bio) ที่แสดงถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ
2. วิเคราะห์ “เจตนาในการค้นหา” (Search Intent)
อนเขียน ให้เข้าใจว่าคนที่ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนี้ ต้องการอะไร
- Informational (ต้องการรู้): ต้องการคำตอบสรุป, วิธีทำ, คู่มือ (เช่น “วิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก”) → ต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วน
- Commercial (ต้องการเปรียบเทียบ): ต้องการข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ (เช่น “รีวิวรองเท้าวิ่งรุ่น X vs รุ่น Y”) → ต้องมีตารางเปรียบเทียบ ข้อดี/ข้อเสีย
- Transactional (ต้องการทำธุรกรรม): ต้องการซื้อ/ดาวน์โหลด (เช่น “ซื้อ iPhone 16 ราคา”) → เนื้อหาควรนำไปสู่การซื้อหรือการกระทำนั้น ๆ
3. ปรับโครงสร้างเพื่อ “AI Overviews” (Generative Engine Optimization – GEO)
เพื่อให้ AI หยิบเนื้อหาของคุณไปสรุปในช่อง AI Overviews ได้ง่าย คุณต้องทำตามหลัก GEO:
- ตอบคำถามโดยตรง: ให้คำตอบที่ชัดเจน กระชับ ตรงประเด็น ใน ย่อหน้าแรก ของบทความ
- ใช้ Long-Tail Keyword: เน้นการตอบคำถามแบบยาวและเป็นภาษาพูด (เช่น “วิธีดูแลต้นไม้ในห้องนอนแบบไม่โดนแดด”) เพราะ AI มักถูกกระตุ้นด้วยคำถามที่ซับซ้อน
- ใช้หัวข้อที่ชัดเจน: ใช้ Heading Tags (H2, H3, H4) อย่างเป็นระบบ
- H1: หัวข้อหลักของบทความ
- H2: หัวข้อหลัก/คำถามใหญ่
- H3: หัวข้อย่อย/ขั้นตอนย่อย
- ใช้รูปแบบที่ AI ชอบ: ใช้ Bullet Points, Numbered Lists, ตาราง และ คำถามที่พบบ่อย (FAQ Schema) เพื่อให้ AI ย่อยข้อมูลไปสรุปได้ง่าย
4. ปรับปรุงองค์ประกอบ On-Page SEO พื้นฐาน
องค์ประกอบเหล่านี้ยังคงสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดอันดับและประสบการณ์ผู้ใช้:
| องค์ประกอบ | สิ่งที่ต้องทำ |
|---|---|
| Title Tag | ใส่คีย์เวิร์ดหลักไว้ที่ต้นประโยค และเขียนให้น่าคลิก (ไม่เกิน 50-60 ตัวอักษร) |
| Meta Description | สรุปเนื้อหาและกระตุ้นให้คลิก (ใส่คีย์เวิร์ด และ Call-to-Action) |
| ความเร็วเว็บไซต์ | ต้องโหลดเร็ว! (โดยเฉพาะบนมือถือ) ใช้เครื่องมือเช่น Google PageSpeed Insights เพื่อตรวจสอบ |
| รูปภาพ | ตั้งชื่อไฟล์รูปภาพให้สื่อสาร เช่น วิธี-ปลูก-ผัก-สลัด.jpg และใส่ Alt Text อธิบายรูปภาพให้ Google เข้าใจ |
| Internal & External Links | Internal Link: เชื่อมโยงไปยังบทความที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ของคุณ External Link: เชื่อมโยงไปยังแหล่งข้อมูลภายนอกที่น่าเชื่อถือ |
| URL | สั้น, กระชับ, สื่อถึงเนื้อหา และใส่คีย์เวิร์ดหลัก (ใช้ภาษาอังกฤษหรือ pinyin หากเป็นไปได้) |
รู้จัก GEO มากขึ้นที่ IDM Council
IDM Council ผู้นำด้านการตลาดดิจิมัล เปิดหลักสูตร “Master AI-Driven Digital Marketing“ มุ่งเน้นการใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) เพื่อ ลดงบโฆษณา และ เพิ่มผลตอบแทน (ROI) อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่หลักสูตรครอบคลุม:
- AI Workflow & Optimization: ใช้ AI สร้างกระบวนการทำงานอัตโนมัติ และปรับปรุงโฆษณาให้แม่นยำขึ้น
- ครบจบในที่เดียว: สอนกลยุทธ์รอบด้านทั้ง SEO (รวม GEO ยุค AI), Paid Ads (โฆษณา), Content, และ Data Analysis
- เป้าหมาย: สร้างทักษะการวางกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ไม่ใช่แค่คนยิงแอด เพื่อให้ทุกบาทของงบโฆษณาสร้างผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้จริง
หลักสูตรนี้จึงเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการอัปเกรดทักษะให้ทันยุค และใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดอย่างแท้จริง
สรุป
การเขียนบทความให้ “ติด Google” ในยุค AI ไม่ใช่แค่การเขียนเพื่อ Robot อีกต่อไป แต่คือการ เขียนเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ผู้ใช้อย่างลึกซึ้ง ในรูปแบบที่ทั้ง มนุษย์อ่านเข้าใจง่าย และ AI สามารถนำไปสรุปเป็นคำตอบได้ทันที ครับ
















