Google Trends
Google Trends

เผย! เครื่องมือสร้างคอนเทนต์เพิ่มยอดขายสุดปัง ตามติดทุกกระแส เขียนคอนเทนต์โดนใจลูกค้า 

ในปัจจุบันเรามีเครื่องมือลับต่างๆที่ช่วยเราในการสร้าง คอนเทนต์ให้น่าสนใจจนเว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆเวลามีคนค้นหาสิ่งที่ต้องการบน Google หรืออีกคำนึงที่เรานิยมเรียกสิ่งนี้คือ Search Engine Optimization (SEO) วันนี้ IDM Council จะพาไปรู้จัก 1 ในเครื่องมือลับใน” การสร้างคอนเทนต์ตรงใจลูกค้า” ที่สาย Digital Marketing ไม่ควรพลาด!

การเขียนคอนเทนต์ ให้โดนใจลูกค้า หรือตอบโจทย์กับความต้องการนั้นมีหลายองค์ประกอบด้วยกัน เพราะว่าถ้าคุณเขียนเนื้อหาดีขนาดไหนแต่ว่า Keyword ในเนื้อหาของคุณ นั้นไม่ต้องกับความต้องการ เนื้อหาดีก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว เนื้อหานั้นมีความสำคัญต่อSEO อย่างมาก

Google Trend คืออะไร

เรามาทำความเข้าใจกับ Google trend คืออะไรทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้เพือนๆนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดกันดีกว่า เจ้าเครื่องมือสุดปังตัวนี้เป็น 1 ใน keyword tool ที่จะช่วยให้คุณเขียนคอนเทนต์ได้โดนใจลูกค้าเพราะว่าเจ้าตัวนี้จะข่วยให้เรารู้ว่าในเวลานั้นเรื่องอะไรที่กำลังเป็นเทรนต์ และนอกจากนั้นเรายังสามารถใช้ในการหาคีย์เวิร์ดให้ตรงใจกับลูกค้าอีกด้วย  การใช้งานคือเจ้าตัวเครื่องมือจะแสดงผลลัพธ์ออกมาว่า “ Search Term หรือ ประโยค ที่เราค้นหานั้นเป็นที่นิยมในการค้นหาหรือมั้ย โดยแสดงผ่านสถิติการค้าหาคำหรือประโยค บน แพล้ตฟอร์ม Google Search Engine ทั่วโลก

วิธีการใช้งาน Google Trends

เริ่มแรกในใช้งานเราสามารถเข้าไปที่ Google เทรนด์ เพื่อเริ่มต้นใช้งานขั้นพื้นฐาน

Google Trends

เมื่อเข้าไปในเว็บจะเห็นหน้าตาเว็บตามด้านบน เราสามารถพิมพ์หาคีย์เวิร์ดตามที่สนใจลงเข้าไปในช่องได้เลย

Google Trends

หลังจากลองใส่คำว่า Digital Marketing ลงไป เราจะได้ระดับความน่าสนใจขึ้นมาตามภาพ
นอกจากนี้ Google Trends สามารถระบุ Location และ ระยะเวลาที่ต้องการได้อีกด้วย จากตัวอย่างด้านบน ได้ทำการระบุสถานที่เป็นประเทศ ไทย ในระยะเวลา 1 ปี ความสามารถยังไม่หมดแค่นั้น เครื่องมือสุดลับยังเลือกระบุหมวดหมู่และประเภทของการค้นหาได้อีกด้วย

Google Trends

นอกจากผลลัพท์จะแสดงระดับน่าสนใจของคำหรือประโยคที่ค้นหาแล้ว เครื่องมือยังแสดงหัวข้อ หรือ คำค้นหาอะไรที่เกี่ยวค้นกับ Keyword น่าสนใจในตอนนี้โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน

  1. Related Topic คือ หัอข้อที่เกี่ยวข้องกับคำที่ต้องค้นหาอยู่ เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้งาน
  2. Related Queries คือ กลุ่มคำที่เกี่ยวข้องที่กำลังเป็นที่นิยมในกลึ่มผู้ใช้งาน

การแสดงผลลัพท์ของทั้ง 2 แบบ คือ

Top : หัวข้อหรือคำที่ได้รับนิยมมากที่สุดในเวลานั้นๆ โดยแต่ละหัวข้อหรือคำจะมีเลขอยู่ที่ 100 ซึ่งเลขที่ตามมาเป็นจำนวนค่านิยมเช่น เลข 40 แปลว่า มีค่านิยมเท่ากับ 40 เปอร์เซ็นต์ของคำอันดับ 1
Rising : หัวข้อหรือคำที่ค้นหามียอดการเติบโตของจำนวนการค้นหาสูดสุดในช่วงนั้นๆ

Google Trends

จุดสำคัญของ Google Trend คือ เราสามารถเพิ่มคำค้นหาที่ต้องการเลือก เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าเราควรสนใจเทนต์ไหนมากกว่ากัน โดยรอบนี้จะใช้ว่า “Digital Marketing” และ “SEO”

Google Trends

จากตัวอย่างด้านบนจะเห็นว่ากราฟแสดงผลออกมาเป็น 2 สี ซึ่งสีน้ำเงินแทนคำว่า Digital Marketing และ สีแดงแทนคำว่า “ SEO” เครื่องมือสามารถแบ่งออกมาทั้งหมด 5 สี 5คำ ด้วยกัน

6 เทคนิคลับการใช้ Google Trends ในการสร้าง Content

เมื่อเข้าใจหลักการใช้งานว่า Google Trend คืออะไร กันไปแล้วถึงเวลาเรียนรู้เทคนิคการใช้เครื่องมือกันดีกว่าว่าจะใช้งานอย่างไงให้เขียน คอนเทนต์ โดนใจลูกค้ามากที่สุด IDM ได้รวมเทคนิคมาให้ทั้ง 6 เทคนิคด้วยกัน

  • เทคนิคที่ 1 การเลือกTopic และ Keyword
    จากบทความเบื้องต้นเรารู้จักไปกันแล้วว่าใช้งานไรได้บ้างโดยเทคนิคเกี่ยวกับการเลือกหัวข้อและการหาคีย์เวิร์ดมีด้วยกัน 2 เทคนิคหลักดังนี้

1.1 เลือกหัวข้อหรือ คีย์เวิร์ด ด้วย ชุดคำถามที่เกี่ยวข้อง ( Related Queries) และหัวข้อที่เกี่ยวข้อง( Related Topic)

Google Trends

จากตัวอย่างด้านบน สมมุติว่าเรากำลังจะทำบริษัทเกี่ยวกับ Marketing Agency แล้วต้องการเขียนคอนเทนต์ เกี่ยวกับ Agency เราสามารถค้นหาด้วยคำว่า “Marketing Agency” ใน Google Trends เพื่อนำไปเป็นแนวทางว่าเราโฟกัสในการเป็น Marketing Agency ด้านไหนดี เช่นในตัวอย่างเราสามารถนำผลที่แสดงมาปรับใช้ในการเขียนคอนเทนต์ เช่น
“ 5 ข้อดีของการใช้บริการ Website marketing agency “ เป็นต้น

แต่ข้อควรระวัง ! ของการใช้เทคนิคนี้คือในบางทีที่เราตั้งเวลาค่อนข้างยาว1ปีทำให้อาจจะ Trend จากปีเก่าปนมาด้วย ดังนั้นเราต้องสังเกตด้วยว่า คำที่เรากำลังสนใจนั้นเป็นข้อมูลหรือคำที่อัพเดตไหม เพราะถึงค่านิยมจะดีแต่เนื้อหาเก่าแล้ว เนื้อหาของเรานั้นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคนั้นเอง

1.2 เทคนิคการเลือกหัวข้อหรือ Keyword ทีต้องการด้วยการเปรียบเทียบ
หลายคนที่กำลังเขียนคอนเทนต์อยู่อาจจะงงว่าเลือกหัวข้อหรือคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันอะไรดีที่ในการเขียนหัวข้อ ซึ่งในส่วนนี้เราสามารถใช้ Google Trends เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจให้ง่ายขึ้น

Google Trends

จากตัวอย่างข้างต้น สมมติว่าคุณกำลังลังเลว่าจะใช้ การตลาดออนไลน์ หรือ คำว่า Marketing Online ดี จากตัวอย่างเราก็จะเลือกใช้ Marketing Online เพราะว่ามีค่านิยมในการหามากกว่า
อีกข้อสังเกตของเทคนิคนี้คือ ในการหาคีย์เวิร์ยควรเลือกคำให้เหมาะสมกับจุดประสงค์ของเราเพราะว่าบางคำทีมีค่านิยมสูงแต่จะมีประโยชน์เพียงในระยะสั้นเท่านั้น อาจจะไม่เหมาะกับจุดประสงค์ในการเขียน คอนเทนต์ ของเรา

เทคนิคที่ 2 สร้างคอนเทนต์เฉพาะกลุ่มโดยดูจากตำแหน่งที่มีคนสนใจ
1 ใน เทคนิคที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ยิ่งเราใช้การค้นหาในภูมิภาค จะเห็นผลชัดว่าพื้นที่ไหนกำลังสนใจสินค้าของเราอยุ่ เช่นคำว่า “ รองเท้าวิ่ง” เราจะเห็นได้ว่า ลพบุรีเป็นจังหวัดทีมีการค้นหา รองเท้าวิ่งมากที่สุด ดังนั้นเราสามารถเขียนคอนเทนต์ให้มีความหลากหลายและเนื้อหาเฉพาะกลุ่มเป้าหมายโดยตรงเพื่อเพิ่มโอกาสขายได้มากยิ่งขึ้น เช่น
“5 สนามออกกำลังกายที่น่าวิ่งในจังหวัด ลพบุรี” เป็นต้น

Google Trends
  • เทคนิคที่ 3 ใช้ในการวาง Plan Content
    อีกข้อดีของGoogle Trend คือ เราสามารถนำมาช่วยในการวางแผนคอนเทนต์ล่วงหน้าได้ สำหรับบางหัวข้อนั้นค่านิยมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ซึ่งเราสามารถคาดการได้จากการใช้ Google เทรนด์ ในการดูว่าสิ่งที่เรากำลังสนใจนั้นนิยมในช่วงไหนของปี
Google Trends

จากตัวอย่างที่ยกมาให้ชม “เสื้อกันหนาว” มีความนิยมหากันในช่วงสิ้นปี ดังนั้นเราอาจจะวางแผนไว้ว่าใกล้สิ้นปีต้องเขียนคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับเสื้อกันหนาว

  • เทคนิคที่ 4 ความสดใหม่ของ Content
    ในปัจจุบันผู้คนสนใจที่ เนื้อหาที่อยู่บนกระแสมากกว่าเนื้อหาทั่วไป และก็จะมี บางคอนเทนต์ ที่เป็น Evergreen Content หรือ เนื้อหาที่ไม่มีวันหมดอายุ ถึงเนื้อหาเราจะดีแต่ถ้าไม่มีคำหรือเนื้อหาที่เป็นที่นิยม ก็อาจจะทำให้
    คอนเทนต์ของเราถูกกลบด้วยเนื้อหาของคนอื่นอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องขยันตรวจเช็คเนื้อหาให้น่าสนใจและสดใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภท
Google Trends

จากตัวอย่าง คำว่า “ต้นไม้ในบ้าน” เคยได้รับความนิยม แต่ในปัจจุบันคำว่า “ต้นไม้ฟอกอากาศ” กลับเป็นที่นิยมและมีแนวโน้วจะมีมากขึ้น ดังนั้นจากการวิเคราะห์เราอาจะนำ คอนเทนต์เก่าๆมาเขียนหรือแก้ไขบางส่วนเพราะว่าหัวข้อเนื้อหาค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน เช่น เปลี่ยนหัวข้อจาก “10 อันดับต้นไม้ในบ้านที่ได้รับความนิยม” เป็น “10 อันดับต้นไม้ฟอกอากาศในบ้านที่ได้รับความนิยม”

  • เทคนิคที่ 5 สร้างคอนเทนต์เป็นตัวช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น
    เป็นเทคนิคที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะมีผลต่อยอดขายโดยตรง วิธีการก็ง่ายดาย คือเราใช้เครื่องมือในการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ( Related Queries) กับสินค้าของเรา ยกตัวอย่างง่ายๆคือ หากเราให้บริการด้านการตลาดอยู่ เราก็หาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเรา “ Digital Marketing Agency”เราก็จะเห็นเลยว่าคนกำลังสนใจการบริการแบบหรือหาข้อมูลไหนของบริษัทอื่นอยู่
Google Trends

ดังนั้นเราก็ควรเขียนคอนเทนต์ที่แสดงจุดเด่นของการบริการเราหรือข้อเปรียบเทียบเรากับบริษัทอื่น จะช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

  • เทคนิคที่ 6 นำมาใช้ในการสร้าง Content เพื่อสร้างกระแสในปัจจุบัน
Google Trends

จากภาพตัวอย่างเราสามารถตรวจสอบได้ทันที่ว่าอะไรกำลังเป็นที่นิยมกันตอนนี้ ถ้าเราต้องต้องการตามกระแสอะไรซักอย่างเพื่อเพิ่ม การรับรู้แบรนด์ ( Awareness) หรือ การมีส่วนร่วมของเพจ (Engagement) เครื่องมือนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลยที่เดียว
** ข้อควรระวังของเทคนิคนี้!! คือ Keyword บางคำอาจจะมีค่านิยมและมีความน่าสนใจในระยะสั้น เช่น สมุทรสาคร หรือเทศกาลต่างๆ

สรุป

การหา คีย์เวิร์ด เพื่อเขียนบทความให้โดนใจของลูกค้า และ ติดอันดับ SEO ที่ดี เครื่องมือสุดลับอย่าง Google Trendคือ เครื่องมือที่ตอบโจทย์กับความต้องการนี้เลย เพราะว่ามีเทคนิคพิเศษมากมายและมีความโดดเด่นในด้านการใช้งานที่ไม่ยุ่งยาก ทั้งการหาเจาะเฉพาะพื้นที่ อัพเดตเทรนด์ต่างๆให้เราตามติดทุกกระแสอย่างง่ายดาย
หากเพื่อนๆสนใจอยากใช้เครื่องมือสุดเจ๋งแบบนี้ในการสร้างคอนเทนต์ให้น่าสนใจ ช่วยในการปิดการขายครั้งต่อไปง่ายขึ้น และ รอติดตามเรื่องมือลับอื่นๆ เร็วๆนี้ เรามีหลักสูตร Content Marketing ให้คุณได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือแบบเจาะลึกทุกเทคนิค จากผู้เชี่ยวชาญ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลวส่วนบบุคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

Save